วันพฤหัสบดีที่ 30 พฤศจิกายน พ.ศ. 2560

ใครไม่เก่ง Photoshop ต่อไป Adobe จะใช้ AI มาช่วยให้คุณทำงานง่ายขึ้น



ใครไม่เก่ง Photoshop ต่อไป Adobe จะใช้ AI มาช่วยให้คุณทำงานง่ายขึ้น หนึ่งในนั้นก็คืองานยากอย่างการเลือกคนออกฉากหลัง

ใครที่ใช้งาน Photoshop เป็นประจำจะรู้ดีว่า อีกหนึ่งงานที่ต้องเสียเวลามากก็คือการ Masking คนเพื่อทำการแยกออกจากฉากหลัง ซึ่งเราต้องมานั้นกำหนดที่ละจุด ใครที่ไม่เคยทำนั้นถือว่ายากมาก แต่ต่อไปงานนี้จะง่ายขึ้นด้วยฟีเจอร์ใหม่ชื่อว่า Select Subject ฟีเจอร์นี้ทาง Adobe จะนำปัญญาประดิษฐ์มาช่วยทำงาน “Select and Mask” สิ่งที่เราต้องทำก็คือคลิกตรงไหนของภาพก็ได้ จากนั้น AI ก็จะเลือกคนหรือวัตถุในภาพให้อัตโนมัติ จากนั้นเราก็แค่เลือกเปลี่ยนสีฉากหลังหรือตัดคนออกมาเพื่อนำไปใช้ต่อ

เบื้องหลังของฟีเจอร์นี้ก็คือแพลตฟอร์ม AI ของ Adobe ที่มีชื่อว่า Sensei มันใช้ machine learning ในการเรียนรู้วัตถุ ทำให้รายละเอียดที่ซับซ้อนของวัตถุไม่ใช่ปัญหา อย่างพวกเส้นผมหรือขนสัตว์ยิ่งใช้มันจะยิ่งฉลาด Masking ได้เนียนยิ่งขึ้น แต่ในช่วงแรกคุณอาจจะต้องใช้เครื่องมือแต่งภาพช่วยก่อน

ปัจจุบันมีปลั๊กอินอย่าง Akvis SmartMask และ Fluid Mask tที่ทำแบบเดียวกับฟีเจอร์นี้ได้ แต่ข้อดีของฟีเจอร์ใหม่ก็คือเราไม่ต้องโหลดอะไรมาลงเพิ่ม ใช้งานได้ทันที คาดว่าความสามารถใหม่นี้จะมาพร้อมกับเวอร์ชั่นใหม่ที่จะอออกในอนาคตค่ะ

บทความ : dailygizmo.tv

วันอังคารที่ 21 พฤศจิกายน พ.ศ. 2560

รัฐบาลจีนประกาศนโยบายสนับสนุนการพัฒนาเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์(A.I) เต็มที่

ทุ่มแข่ง AI จีนปักหมุดต้องผลิตชิปให้ดีกว่า NVIDIA M40 ไปอีก 20 เท่าภายในปี 2021


รัฐบาลจีนประกาศนโยบายสนับสนุนการพัฒนาเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์(A.I) เต็มที่ตั้งแต่กลางปีที่ผ่านมา โดยหวังจะพัฒนาเทียบเท่าสหรัฐฯ ภายในสามปีข้างหน้า

ตอนนี้ทางกระทรวงวิทยาศาสตร์ของจีนได้เริ่มกำหนดเป้าหมายย่อยออกมาแล้ว โดยเป้าหมายหนึ่งคือการพัฒนาชิปสำหรับปัญญาประดิษฐ์ที่ดีกว่า NVIDIA Tesla M40 ไปอีก 20 เท่าตัว ทั้งในแง่ประสิทธิภาพพลังงานและพลังในการประมวลผล

Tesla M40 เป็นชิปเก่าสองปีที่ใช้สถาปัตยกรรม Maxwell และมีพลังประมวลผลแบบ single-precision เพียง 7 TFLOPS (การ์ดใช้งานตามบ้านรุ่นใหม่อย่าง 1080Ti มีพลังประมวลผล 10.6 TFLOPS)

บริษัทลงทุนของรัฐบาลจีนเพิ่งลงทุนในบริษัทผลิตชิป AI ที่ชื่อว่า Cambricon เมื่อเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา มูลค่าถึง 100 ล้านดอลาร์ แม้ว่าชิปเหล่านี้อาจจะไม่มีประสิทธิภาพเท่าชิป NVIDIA รุ่นใหม่ๆ แต่ตลาดจีนก็มีความได้เปรียบที่เป็นผู้ผลิตกล้องวงจรปิดจำนวนมาก หากมีชิปรุ่นพอใช้งานได้ได้รับความนิยมขึ้นมา นั่นหมายถึงบริษัทเหล่านี้ก็มีโอกาสทำกำไรและอยู่ได้ด้วยตัวเองอย่างรวดเร็ว

บทความ : lew@Blognone

วันอาทิตย์ที่ 19 พฤศจิกายน พ.ศ. 2560

ธนาคาร China Citic และบริษัทเสิร์ชเอนจิน Baidu จับมือกันเปิดตัว AiBank


Baidu ร่วมมือกับธนาคาร China Citic ตั้งธนาคารที่เน้นให้บริการทางอินเทอร์เน็ต


ธนาคาร China Citic และบริษัทเสิร์ชเอนจิน Baidu จับมือกันเปิดตัว AiBank

Aibank เป็นธนาคารที่ตอบสนองความต้องการของผู้ใช้ในยุคฟินเทค (เป็นไปตามคู่แข่งอย่าง Alibaba และ Tencent ที่แต่ละบริษัทต่างก็มีธุรกิจส่วนให้บริการทางการเงินด้วย)

AiBank จะเน้นการให้บริการทางอินเทอร์เน็ต แทนที่จะเป็นการให้บริการผ่านสาขา โดย Li Rudong ประธานของธนาคารแห่งใหม่กล่าวว่า บริการของ AiBank จะเน้นที่การกู้ยืมแบบส่วนบุคคลและธุรกิจขนาดย่อม ซึ่งจะใช้ big data และ AI เข้ามาสร้างโมเดลควบคุมความเสี่ยง โดย 60% ของพนักงานธนาคารนี้จะเป็นพนักงานที่ทำงานในด้านเทคโนโลยี

Lu Qi ซีโอโอของ Baidu กล่าวว่า AiBank นั้นจะเป็นอนาคตของการเงินอัจฉริยะ (intelligent finance) เป็นสถาบันการเงินที่เข้าใจความต้องการของลูกค้าอย่างดีที่สุด และเข้าในการเงินอย่างดีที่สุดด้วยเช่นกัน AiBank มีทุนจดทะเบียนที่ 2 พันล้านหยวน โดย Citic Bank จะถือหุ้น 70% ส่วน Baidu จะถือหุ้น 30% โดยการก่อตั้งธนาคารแห่งนี้ได้รับการรับรองจากหน่วยงานกำกับดูแลธนาคารของจีนมาแล้วตั้งแต่ต้นปี

บทความ by nutmos@Blognone

วันเสาร์ที่ 18 พฤศจิกายน พ.ศ. 2560

Apple ประกาศเลื่อนแผนวางจำหน่าย HomePod ลำโพงอัจฉริยะ ออกไปเป็นต้นปี 2018


Apple ประกาศเลื่อนแผนวางจำหน่าย HomePod ลำโพงอัจฉริยะ ออกไปเป็นต้นปี 2018


Apple ประกาศเลื่อนการวางจำหน่าย HomePod ลำโพงอัจฉริยะสำหรับการฟังเพลง ซึ่งมี Siri ในตัวและสามารถควบคุมอุปกรณ์ภายในบ้าน

โดยทางแอปเปิ้ลให้เหตุผลอันเนื่องมาจากการผลิต ซึ่งต้องเลื่อนไปเป็นต้นปีหน้า(2018) แทนที่จะเป็นธันวาคมปีนี้ตามประกาศเดิม ซึ่งเท่ากับว่า Apple จะพลาดการวางจำหน่าย HomePod ลำโพงอัจฉริยะ ในช่วงวันหยุดปลายปีที่คนนิยมจับจ่ายใช้สอยซื้อสินค้ากันเป็นจำนวนมาก

โฆษกของ Apple ได้ยืนยันกับ TechCrunch โดยกล่าวว่า Apple ต้องการเวลาอีกสักนิดเพื่อให้ผลิตภัณฑ์นี้พร้อมสำหรับการใช้งานกับผู้ใช้ทั่วไป โดย Apple จะเริ่มส่งมอบสินค้าในสหรัฐฯ, สหราชอาณาจักร และออสเตรเลียภายในช่วงต้นปี 2018

Apple HomePod นี้จะวางจำหน่ายที่ราคา 349 ดอลลาร์ มีความสามารถหลัก ๆ คือการฟังเพลง และมี Siri ในตัวสำหรับการเรียกให้จัดเพลง, หาเพลง ไปจนถึงการควบคุมอุปกรณ์ HomeKit ได้ด้วย

บทความ nutmos@Blognone


วันพฤหัสบดีที่ 16 พฤศจิกายน พ.ศ. 2560

ฺBaidu เปิดตัวลำโพงอัจฉริยะ Raven H ที่รันด้วย DuerOS แพลตฟอร์ม AI


Baidu เปิดตัวลำโพงอัจฉริยะ พร้อมหุ่นยนต์แขนกล รันด้วยแพลตฟอร์ม AI


หลังพัฒนาปัญญาประดิษฐ์จนมีแพลตฟอร์ม A.I. ของตัวเองในชื่อ DuerOS วันนี้ Baidu ได้เปิดตัวผลิตภัณฑ์ที่ใช้งานแพลตฟอร์ม A.I. เป็นครั้งแรก 2 ตัว ซึ่งเป็นการพัฒนาร่วมกับบริษัทลูก Raven Tech สตาร์ทอัพพัฒนาลำโพงอัจฉริยะที่ Baidu ซื้อมาเมื่อต้นปี 2017

ผลิตภัณฑ์ตัวแรกคือลำโพงอัจฉริยะ Raven H ที่รันด้วย DuerOS แพลตฟอร์ม A.I. รองรับการสั่งงานลักษณะเดียวกับ Alexa หรือ Google Assistant



โดยจุดเด่นของ Raven H คือแพแนลชั้นบนสุดที่เป็นจอ LED สามารถถอดออกจากตัวฐานลำโพง และสามารถพกติดตัวหรือนำไปวางไว้ที่อื่นเพื่อสั่งการ AI ไม่ว่าจะค้นหา เปิดเพลงหรือควบคุมอุปกรณ์สมาร์ทโฮมอื่นๆ โดยไม่ต้องพกลำโพงทั้งตัวไป วางจำหน่ายราคา 1,699 หยวนหรือราว 8,500 บาท

อีกตัวเป็นหุ่นยนต์แขนกล Raven R รันด้วย DuerOS เช่นกัน มีทั้งหมด 6 แกน อินเทอร์เฟสมาในลักษณะเดียวกับ Raven H คือแผ่นหน้าจอ LED แต่สามารถแสดงออกด้านอารมณ์และตอบโต้ผู้ใช้ได้ (เดาว่าน่าจะผ่านการใช้หลอด LED แสดงออกเป็นสีหน้า) รองรับการสั่งการได้ลักษณะเดียวกับ Raven H โดยทาง Baidu ไม่ได้ให้รายละเอียดความสามารถอื่นๆ เพิ่มเติม

 

นอกจากนี้ Baidu ยังเปิดตัวหุ่นยนต์ AI ในบ้านตัวที่ 3 ชื่อ Raven Q แต่ยังเป็นเพียงคอนเซ็ปและบอกเพียงว่ามาพร้อมกับเทคโนโลยี Simultaneous Locallization and Mapping (SLAM) และ Computer Vision โดยรันอยู่บน DuerOS เหมือนกัน

ที่มา By nismod@Blognone


วันเสาร์ที่ 11 พฤศจิกายน พ.ศ. 2560

เอไอ A.I. ( peep!!!...อนาคตจะเป็นอย่างไร ? )







เปิดโลกเทคโนโลยียานยนต์ A.I. ไปกับ Toyota


เปิดโลกเทคโนโลยียานยนต์ A.I. ไปกับ Toyota


นอกจากรถยนต์แนวคิดใหม่ที่นำเสนอในงานโตเกียว มอเตอร์ โชว์ 2017 ไปแล้ว “Toyota” ยังได้มีการเปิดเผยเรื่องราวเกี่ยวกับเทคโนโลยีต่างๆ ของบรรดารถยนต์ที่โตโยต้ากำลังพัฒนาขึ้นมาเพื่อก้าวเข้าสู่โลกยุคใหม่ของการเดินทางด้วยรถยนต์ ไฮไลท์สำคัญคงจับจ้องไปที่ระบบขับขี่อัตโนมัติ (AI) ที่กำลังเข้ามามีบทบาทมากขึ้นเรื่อยๆ แม้จะยังไม่สมบูรณ์เต็ม 100% แต่เริ่มใช้งานอย่างเป็นจริงเป็นจังแล้ว

ซึ่งทีมงานเอ็มจีอาร์ มอเตอริ่ง มีโอกาสเข้าร่วมทดสอบการขับขี่ด้วยระบบอัตโนมัติ ซึ่งทางโตโยต้าได้จัดให้เราทดลองขับในตัว เลกซัส แอลเอส ที่เพิ่งเปิดตัวอย่างเป็นทางการในประเทศญี่ปุ่น ซึ่งเราเคยลองขับมาแล้วที่อเมริกาในการเปิดตัวครั้งแรก แต่ยังไม่ได้ลองระบบนี้ เนื่องจากจำเป็นต้องใช้หลายปัจจัยในการใช้งาน ดังจะกล่าวดังต่อไปนี้

ระบบนี้มีชื่อว่า ACC (Adaptive Cruise Control) และระบบ LCA (Lane Change Assist) หลายท่านอาจจะคุ้นเคยกับชื่อของทั้งสองระบบนี้ จากแบรนด์อื่นๆ มาบ้างแล้ว แน่นอนว่ามันคือระบบแบบเดียวกัน หลักการทำงานเหมือนกัน เพียงแต่ว่ายี่ห้อใดจะพัฒนาไปให้ใช้งานได้ง่ายและสัมฤทธิ์ผลมากกว่ากันนั่นเอง

เริ่มกันที่ระบบ ACC กันก่อน โตโยต้า ให้เราลองใช้งานระบบนี้ซึ่งติดตั้งอยู่ในใน เลกซัส แอลเอส โฉมใหม่ล่าสุด ด้วยการให้เราขับจากจุดเริ่มต้นไปยังสถานที่เป้าหมาย โดยมีรถนำและขับไปเป็นคู่ รวม 3 คันต่อเซต รถนำจะขับด้วยความเร็วคงที่ ขณะที่แอลเอสที่ขับตามจะเปิดระบบ ACC ด้วยการกดปุ่มแล้วกดเซตให้ ระบบตรวจจับคันหน้า

เมื่อระบบหาคันหน้าเจอจะแสดงผลบนหน้าจอ ด้วยสัญลักษณ์รูปรถที่มีเส้นสีฟ้าพุ่งไปหารถคันหน้า แสดงว่าระบบทำงานเรียบร้อย สิ่งที่เราทำต่อไปคือ แค่จับหรือแตะพวงมาลัยเอาไว้ เพื่อให้รถรู้ว่า เรายังมีสติครบถ้วนอยู่ นอกเหนือจากนี้ระบบจะทำให้ทั้งหมดไม่ว่าจะเป็น การเร่งตามคันหน้า การชะลอ การเบรก หยุดและออกตัว รวมไปถึงการเลี้ยวตามโค้งของถนน โดยที่เราไม่ต้องเหยียบคันเร่งหรือเบรกแต่อย่างใด เปรียบได้กับการ เป็นโบกี้รถไฟ ตามคันหน้าที่เป็นหัวรถจักรนั่นเอง

อย่างไรก็ตามคงมีข้อสงสัยเกี่ยวกับ การแตะพวงมาลัย หากไม่จับหรือปล่อย จะเกิดอะไรขึ้น คำตอบจากทีมวิศวกรคือ หากปล่อยมือเกินกว่า 10 วินาที ระบบจะปลดล็อกการทำงานทันที หลังจากนั้นจะเริ่มชะลอรถ เบรกพร้อมกับเลี้ยวเข้าข้างทาง จนกระทั่งยุดสนิท และตามมาด้วยการแจ้งไปยังศูนย์เพื่อขอความช่วยเหลือ โดยที่ในญี่ปุ่นจะมีรถพยาบาลมายังรถของเราทันที เรียกว่าเป็นการคิดแบบเต็มระบบครบถ้วนเพื่อความปลอดภัยของผู้ขับขี่อย่างแท้จริง

ทั้งนี้เนื่องจาก ตามแนวคิดของการติดตั้งระบบนี้คือ เพื่อความปลอดภัยของผู้ขับขี่ เมื่อระบบตรวจพบว่าผู้ขับขี่ขาดการติดต่อกับตัวรถ นั่นหมายความว่า อาจจะเกิดปัญหากับผู้ขับขี่ ดังนั้น ทีมวิศวกรจึงได้ออกแบบระบบให้ช่วยเหลืออย่างเต็มที่ และไปจบลงด้วยระบบจะส่งคำขอความช่วยเหลือไปยังศูนย์ นับเป็นอีกหนึ่งก้าวสำคัญของเทคโนโลยียานยนต์ที่ให้ความปลอดภัย และการคำนึงถึงตัวมนุษย์เป็นหัวใจหลัก (เราแอบถามว่า ลองได้ไหม แต่ทีมวิศวกรบอกว่า อย่าดีกว่า)

แม้กระนั้น อย่างที่บอกไปตอนต้นว่า ระบบมีข้อจำกัดบางประการที่สำคัญในการใช้งาน เช่น เส้นถนนต้องมีความชัดเจน, ความเร็วของคันหน้า ไม่เกิน 100 กม./ชม. , ทางโค้งที่โค้งมากเกินไประบบจะไม่ทำงาน ต้องบังคับเลี้ยวเอง , ทางแยกรูปตัว y หรือทางเบี่ยงออก ยังจำเป็นต้องบังคับด้วยตัวเอง เป็นต้น

ดังนั้นการใช้งานที่เหมาะกับระบบนี้คือ ทางตรงยาวๆ เพื่อช่วยลดความเมื่อยล้าในการขับขี่ แต่อย่าเผลอหลับ มือหลุดจากพวงมาลัย มิฉะนั้น จะเข้าเงื่อนไขรถจอดให้โดยอัตโนมัติ พร้อมขอความช่วยเหลือทันที

สำหรับระบบ LCA หรือช่วยเปลี่ยนเลน หลักการทำงานคือ ยกก้านคันเลี้ยวซ้ายหรือขวาตามทิศทางที่จะไป เพียงครึ่งหนึ่ง ค้างไว้ประมาณ 3 วินาที เพื่อให้ระบบรับรู้ว่า เราจะไปในทิศทางนี้ แล้วรถก็จะเปลี่ยนเลนไปให้ ทำได้ทั้งซ้ายและขวา โดยมีเงื่อนไขคือ ระบบเซนเซอร์รอบคันจะต้องตรวจแล้วว่าปลอดภัยไร้ซึ่งรถอยู่ในเลนที่เราจะไป ระบบจึงจะเปลี่ยนเลนให้ หากระบบพบว่ามีรถหรือวัตถุอื่นอยู่ รถจะไม่เปลี่ยนเลนให้ ดังนั้นมั่นใจได้ว่า ไม่มีการปาดหน้าคันอื่นอย่างแน่นอน

อาจจะมีคำถามว่า แล้วแค่หักพวงมาลัยเปลี่ยนเลน ไม่ง่ายกว่าหรือ... คำตอบจากวิศวกรคือ ใช่ แต่ที่ใส่ระบบนี้มาให้ ใช้งานเพื่อความปลอดภัย รวมถึงการใช้ก้านคันเลี้ยวในการส่งคำสั่ง มีจุดมุ่งหมายคือ สวัสดิภาพของผู้ขับขี่เป็นสำคัญ เนื่องจากเซนเซอร์สามารถตรวจจับในจุดอับสายตาที่ผู้ขับขี่มองไม่เห็น ดังนั้นจะปลอดภัยกว่า เมื่อเปลี่ยนเลนด้วยการใช้ระบบLCA

จากการได้ทดลองขับ2รอบ และนั่งรวม 4 รอบ ผู้เขียนสามารถกล่าวสรุปได้ว่า ระบบทั้งสองอย่างของเลกซัส สามารถใช้งานได้จริง ช่วยให้ขับสบายและปลอดภัยมากขึ้น ครบถ้วนตามที่วิศวกรตั้งใจ แต่อาจจะยังคงมีข้อจำกัดในการใช้งานอยู่บ้าง และไม่แน่ใจว่าระบบดังกล่าวจะใช้งานได้สมบูรณ์เพียงใดเมื่อมาวิ่งบนถนนเมืองไทย

ที่มา : เมเนเจอร์ ออนไลน์ 



วันพุธที่ 1 พฤศจิกายน พ.ศ. 2560

Aibo หุ่นยนต์น้องหมา...หน้าเป็น ผลิตโดย Sony


Aibo หุ่นยนต์น้องหมา...หน้าเป็น โดย Sony


หลังจากห่างหายไปกว่า 10 ปี Sony ก็ได้เปิดตัวหุ่นยนต์สุนัข(น้องหมา) Aibo รุ่นใหม่ รหัส ERS-1000 โดย Sony กล่าวว่า Aibo รุ่นใหม่นี้ “สามารถสร้างความผูกพันทางอารมณ์กับสมาชิกครอบครัวในบ้าน ในขณะเดียวกันก็มอบความรัก ความหลงไหล ความรู้สึกที่ได้ดูแลและเติบโตไปพร้อมๆกับคู่หูเพื่อนรู้ใจ”

Aibo รุ่นนี้ใช้มอเตอร์ขนาดเล็กทำให้สามารถเคลื่อนไหวไปมาได้ถึง 22 แกน ตาใช้จอ OLED สามารถแสดงอารมณ์ทางตาได้ แบตเตอรีอยู่ได้ประมาณ 2 ชม. ใช้เวลาชาร์จ 3 ชม.

Sony กล่าวว่าการเคลื่อนไหวต่างๆ ของหุ่นยนต์สุนัข Aibo สามารถเปลี่ยนแปลงได้ตามสถานการณ์ โดยใช้ Deep Learning วิเคราะห์ภาพและเสียงที่ผ่านเข้ามาทางเซ็นเซอร์ต่างๆ ของ Aibo และใช้ Cloud Data เพื่อนำประสบการณ์ของ Aibo ตัวอื่นๆ มาเรียนรู้เพื่อสร้างการเคลื่อนไหวและอารมณ์

Aibo มาพร้อมแอปพลิเคชัน My Aibo ใช้สำหรับเข้าการตั้งค่าของ Aibo, ดูรูปภาพที่ถ่ายโดย Aibo, ดาวน์โหลดท่าทางแปลกๆ เพิ่มเติม และ Aibo รุ่นใหม่นี้มีค่ารายเดือนด้วย เป็นเงิน 2,980 เยนต่อเดือน(ประมาณ 850 บาท) โดยต้องสมัครสมาชิกอย่างน้อย 3 ปี เพื่อให้ Aibo ต่อ Wifi และ LTE, Cloud backup และใช้งานฟีเจอร์ต่างๆ ในแอปพลิเคชัน

และอุปกรณ์เสริม Aibone ราคา 2,980 เยนเช่นกัน

Aibo รุ่นใหม่ราคา 198,000 เยน(ประมาณ 56,500 บาท) เปิดให้สั่งจองตั้งแต่วันนี้ที่ญี่ปุ่น วางขายจริง 11 มกราคม 2018 ยังไม่มีแผนขายนอกประเทศญี่ปุ่น

ที่มาบทความ nuania

 

วันเสาร์ที่ 28 ตุลาคม พ.ศ. 2560

Sony เปิดตัว Xperia Hello! หุ่นยนต์เอไอผู้ช่วยอัจฉริยะประจำบ้าน


Sony Mobile ประเทศญี่ปุ่นได้เปิดตัว Xperia Hello! (G1209) หุ่นยนต์ผู้ช่วยอัจฉริยะประจำบ้านอย่างเป็นทางการแล้ว


โดยมันคือร่างสมบูรณ์ของ Xperia Agent ตัวต้นแบบที่พวกเขาได้นำไปโชว์ตามงานแสดงเทคโนโลยีต่างๆตั้งแต่ช่วง IFA 2016 เมื่อปีที่แล้วนั่นเอง และนี่ก็คือผลิตภัณฑ์อัจฉริยะที่ทาง Sony ได้ส่งออกมาเพื่อประชันกับค่ายอื่นๆไม่ว่าจะเป็น Amazon Echo, Google Home และ Apple HomePod ในตลาดผู้ช่วยอัจฉริยะเอไอประจำบ้านที่กำลังเติบโตอย่างรวดเร็ว

Xperia Hello! มีกล้องที่หมุนได้รอบติดตั้งอยู่บริเวณส่วนหัว และหน้าจอ HD ขนาด 4.6 นิ้วบริเวณลำตัวที่ใช้สำหรับแสดงอารมณ์ ข้อความ สภาพอากาศ เวลา ฯลฯ โดยมีจุดเด่นที่ผู้ช่วยอัจฉริยะตัวนี้สามารถแยกแยะสมาชิกในบ้านแต่ละคนได้พร้อมปรับเปลี่ยนบทสนทนาให้เข้ากับแต่ละคน ตัวเครื่องมีไมโครโฟน 7 ทิศทางติดตั้งอยู่ด้านล่าง และเซ็นเซอร์ตรวจจับคนที่เดินเข้ามาในระยะ 3 เมตร ซึ่งมันสามารถหมุนได้ถึง 340 องศาเพื่อหันไปตรวจจับว่าใครกำลังเดินเข้ามา นอกจากนี้เรายังสามารสั่งการให้ Xperia Hello! ถ่ายภาพสภาพในบ้านและส่งมาในขณะที่เราไม่อยู่บ้านได้อีกด้วย


Xperia Hello! คืออะไร?


มันคือหุ่นยนต์สื่อสารที่สามารถขยับได้ราวกับมีชีวิตจริงและยังช่างพูดด้วยน้ำเสียงที่สดใสรวมถึงสามารถแสดงอารมณ์และท่าทางได้อีกด้วย โดย Xperia Hello! สามารถแยกแยะผู้ใช้แต่ละคนเพื่อสนทนา แจ้งข้อมูล แสดงการแจ้งเตือนต่างๆ เพื่อช่วยให้การใช้ชีวิตและการติดต่อสื่อสารเป็นไปง่ายยิ่งขึ้น ซึ่งสมาชิกในบ้านสามารถเริ่มต้นการสั่งการ Xperia Hello! ได้ด้วยการพูดว่า “Hi Xperia!” (Hai ekusuperia)

ซึ่งทาง Sony ระบุว่าฟีเจอร์หลักๆของ Xperia Hello! แบ่งออกเป็น 3 ด้าน ได้แก่

  1. ฟังก์ชั่นการติดต่อสื่อสารที่เชื่อมต่อกับสมาชิกในครอบครัวทั้งในและนอกบ้าน 
  2. ฟังก์ชั่นตรวจการณ์ที่จะช่วยคอนเฟิร์มความเรียร้อยภายในบ้าน 
  3. ฟังก์ชั่นอินโฟเทนเมนท์ที่จะให้ข้อมูลที่เข้ากับแต่ละคน ช่วยอำนวยความสะดวกให้ชีวิตง่ายขึ้น
Xperia Hello! ถูกสร้างขึ้นด้วยเทคโนโลยีจักรกลที่ทาง Sony สั่งสมประสบการณ์มาเป็นเวลานาน ซึ่งทำให้มีการเคลื่อนไหวที่ลื่นไหลและเงียบ มันสามารถสื่อสารและแจ้งข้อมูลต่างๆไม่เพียงแค่ผ่านเสียง แต่ยังมีท่าทางและอารมณ์การแสดงออกที่น่ารักอีกด้วย

ในส่วนของการออกแบบ ปุ่มต่างๆได้ถูกนำไปไว้ด้านใต้ของตัวเครื่อง เพื่อไม่ให้มีความรู้สึกที่มีหลุมหรือมีอะไรนูนออกมา ดังนั้นทั้งตัวเครื่องจึงถูกออกแบบมาให้เรียบและโค้งเว้า ให้ความรู้สึกอ่อนโยน และยึดตามแนวทางการออกแบบที่จะทำให้รู้สึกคุ้นเคยเหมือนเป็นสมาชิกในครอบครัว

ที่มาบทความ se-update

Tencent สร้างปัญญาประดิษฐ์ A.I. ย้อนรอยการแต่งหน้าในแอปพลิเคชั่น


Tencent Youtu Lab นำเสนอรายงานวิจัย Makeup-Go สร้างภาพดั้งเดิมจากภาพที่ผ่านการตกแต่งมาแล้วด้วยแอปต่างๆ เพื่อกู้คืนริ้วรอยบนใบหน้าและจุดด่างดำบนใบหน้าที่ผ่านการตกแต่งกลับคืนมา

Makeup-Go สามารถกู้คืนรอยกระและรอยเหี่ยวย่นได้เท่านั้น โดยไม่สามารถกู้คืนในกรณีที่มีการตกแต่งสัดส่วนภาพที่แอปแต่งภาพบางส่วนทำได้

โดยทีมวิจัยทดสอบกู้คืนภาพที่ผ่านการแต่งด้วยแอป Meitu, Photoshop Express, และ Instagram



หลักการทำงานก็คือทีมวิจัยสร้างเฟรมเวิร์คสำหรับเครือข่ายนิวรอนกู้คืนภาพนี้ชื่อว่า Component Regression Network (CRN) โดยภาพอินพุตจะผ่านเครือข่ายร่วม (common network) ก่อนที่จะกระจายออกไปยังเครือข่ายย่อยๆ อีก 7 ชุด ก่อนจะนำเอาท์พุตกลับมารวมกับภาพเริ่มต้นอีกครั้ง

จากรายงานผลแสดงให้เห็นว่า Makeup-Go สามารถกู้คืนรายละเอียดจากการแต่งภาพด้วย Meitu ได้ค่อนข้างดี ขณะที่การแต่งภาพด้วย Instagram นั้นหากมีการแต่งมากเข้าก็จะเริ่มกู้คืนไม่ได้

บทความ บล็อกนัน

วันพุธที่ 25 ตุลาคม พ.ศ. 2560

Sony กำลังพัฒนายานยนต์ไฟฟ้าที่ควบคุมทางไกลได้ ติดตั้งเซนเซอร์และ A.I.



Sony กำลังพัฒนายานยนต์ไฟฟ้าที่ควบคุมทางไกลได้ ติดตั้งเซนเซอร์และ A.I.


โซนี่กำลังพัฒนา SC-1 ยานพาหนะที่มีขนาดเล็ก (บรรทุกผู้โดยสารได้ 3 คน) โดยมีเทคโนโลยีการบังคับรถผ่านศูนย์ควบคุมได้ เพื่อนำไปประยุกต์ใช้งานต่างๆได้หลากหลาย อาทิ ในสนามกอล์ฟ และรับส่งในห้างสรรพสินค้า ไม่สามารถนำมาวิ่งบนถนนจริงๆ และให้ผู้โดยสารบังคับได้เองเช่นกัน

แต่จุดเด่นของเจ้ายานพาหนะตัวนี้คือ การติดตั้งกล้องที่มีเซ็นเซอร์รับภาพความละเอียดสูง พร้อมกับ เอไอ:Artificial Intelligence (AI) เพื่อประมวลผลผู้บริโภค ผู้คนที่เดินผ่านไปมาอยู่โดยรอบยานพาหนะ ว่าเป็นเพศใด อายุเท่าไร ก่อนที่จะยิงโฆษณาออกไปบนหน้าจอขนาด 55 นิ้ว ความละเอียด 4K ที่ติดไว้ทั้ง 4 ด้านของรถ SC-1 นี้

ซึ่งการทำแบบนี้ จะช่วยให้โฆษณาที่ยิงออกไปนั้นตรงกับกลุ่มเป้าหมายมากยิ่งขึ้น ไม่เหมือนกับการติดโฆษณาลงบนรถเมล์ที่วิ่งไปแล้วจะมีคนดูหรือเปล่าก็ไม่รู้ และหากเทคโนโลยีนี้เสร็จสมบูรณ์ การมาประยุกต์ใช้กับวงการโฆษณาก็น่าจะได้เห็นกันอย่างแน่นอน เช่นหาก รถยนต์ SC-1 วิ่งผ่านครอบครัวที่มีเด็กเล็กๆ ก็จะยิงโฆษณาผ้าอ้อมสำเร็จรูปขึ้นมาเองโดยอัตโนมัติ เป็นต้น

อย่างไรก็ตาม SC-1 ยังอยู่ในช่วงทดสอบโดยร่วมกับทางมหาวิทยาลัย Okinawa Institute of Science and Technology ส่วนการนำมาใช้จริงนั้นทาง Sony ยังไม่เปิดเผยเรื่องระยะเวลาที่แน่ชัดออกมาแต่อย่างใด ส่วนอีกจุดเด่นของ SC-1 ก็คือการติดตั้งระบบ Augmented Reality (AR) ไว้ภายในด้วย เพื่อสร้างประสบการณ์ใหม่ให้กับผู้โดยสาร

บทความ   brandinside.asia/sony-smart-vehicle/

วันศุกร์ที่ 20 ตุลาคม พ.ศ. 2560

พัฒนาไปอีกขั้น AlphaGo Zero ปัญญาประดิษฐ์เล่นหมากล้อม ตัวใหม่จาก Deepmind


Google Deepmind เปิดตัว AlphaGo Zero ปัญญาประดิษฐ์เล่นหมากล้อมตัวใหม่ 


ที่พัฒนาฝีมือเล่นโกะ(หมากล้อม)โดยไม่ต้องอาศัยคนสอน ฝึกด้วยตัวเองเพียง 3 วัน ก็สามารถเก่งกว่า AlphaGo เวอร์ชันเก่าที่เอาชนะเซียนโกะหมากล้อมโลกอย่าง Ke Jie

แม้ว่า AlphaGo ปัญญาประดิษฐ์จาก DeepMind บริษัทลูกของ Google ประกาศอำลาวงการโกะ(หมากล้อม) หลังเอาชนะมือ 1 ในวงการหมากล้อมโลกอย่าง Ke Jie 3 เกมรวดเมื่อช่วงกลางปีที่ผ่านมา ทำให้จะไม่มี AlphaGo ออกมาประลองฝีมือกับมนุษย์อีกต่อไป

แต่ DeepMind ยังไม่หยุดพัฒนา AI เล่นโกะเพียงเท่านั้น เพราะล่าสุดได้เปิดตัว AlphaGo Zero ปัญญาประดิษฐ์ตัวใหม่ ที่มาพร้อมกับความสามารถในการสอนตัวเอง แถมยังเล่นโกะได้เก่งกว่า AlphaGo เวอร์ชันก่อนซะอีกครับ

โดยกว่าที่ AlphaGo เวอร์ชันก่อนจะบรรลุสกิล ระดับความสามารถในการเล่นโกะที่ค่อนข้างเก่งเกินมนุษย์นั้น มันต้องเรียนรู้บันทึกหมากเกมโกะ(หมากล้อม)ที่มนุษย์เคยเล่นไว้กว่า 100,000 กระดาน เพื่อศึกษาแนวทางการเล่นโกะ และนำมาประยุกต์ใช้ แต่สำหรับ AlphaGo เวอร์ชั่น Zero นี้ฉลาดกว่านั้น เพราะมันถูกโปรแกรมให้รู้แค่เพียงกฏการเล่นโกะเบื้องต้นเท่านั้น ส่วนวิธีการเล่น รวมไปถึงเทคนิคต่างๆในการวางหมากนั้น Zero จะพัฒนาทักษะด้วยการประลองฝีมือกับตัวเองไปเรื่อยๆ เป็นจำนวนหลายล้านกระดาน

หลังจากที่ฝึกฝนตัวเองได้อยู่ 3 วัน พบว่า AlphaGo Zero มีความเก่งกาจจนสามารถเอาชนะ AlphaGo เวอร์ชันที่เคยคว่ำแชมป์เซียนโกะโลก 18 สมัยอย่าง Lee Sedol ได้สำเร็จ ด้วยผล 100-0 เกม

หลังจากฝึกต่อไปเป็นเวลา 40 วัน ปรากฏว่า Zero สามารถเอาชนะ AlphaGo เวอร์ชัน Master ซึ่งนับว่าเป็นเวอร์ชันที่ล้ำหน้ามากที่สุด และยังเป็น AlphaGo ที่เอาชนะมือ 1 โลกอย่าง Ke Jie มาแล้ว ด้วยอัตราการชนะ (Win-rate) ถึง 90% ด้วยกัน ทำให้ Zero (น่าจะ) เป็นผู้เล่นโกะ(หมากล้อม)ที่แข็งแกร่งที่สุดในประวัติศาสตร์ไปโดยปริยาย

David Silver หัวหน้าโปแกรมเมอร์ผู้พัฒนา AlphaGo Zero เปิดเผยว่า Zero สามารถค้นพบแผนการเล่นโกะ ที่มนุษย์เคยพัฒนามาเป็นเวลากว่าพันๆ ปีได้ด้วยตัวมันเอง โดยในช่วงแรก Zero เริ่มต้นการเล่นโกะอย่างไร้ชั้นเชิง คล้ายกับมือสมัครเล่น แต่เมื่อเวลาผ่านไป มันเริ่มเล่นโกะได้ทัดเทียมกับมือโปร แถมยังมีการพัฒนาเทคนิคการเล่นโกะที่ไม่เคยเห็นมาก่อนด้วย




ซึ่งทาง DeepMind หวังว่า Zero จะเป็นแรงบันดาลใจให้แก่ผู้เล่นโกะมืออาชีพ ด้วยการแนะนำวิธีรูปแบบการเดินหมากแบบใหม่ๆ ให้แก่มนุษย์ เพื่อนำไปปรับใช้ในเกมการแข่งขันหมากล้อมได้

AlphaGo Zero นอกเหนือจากจะมีความสามารถการเล่นโกะที่เหนือกว่า AlphaGo เวอร์ชั่นก่อนหน้าแล้ว มันยังมีฟีเจอร์ด้านอื่นที่ดีกว่าด้วย อย่างเช่น การใช้พลังงานในการประมวลผลที่น้อยลง ด้วยการใช้ชิป TPU (หน่วยประมวลผล AI ที่สร้างโดย Google) เพียงแค่ 4 ตัว ต่างจากเวอร์ชันก่อนที่ต้องใช้ชิป TPU ถึง 48 ตัว อีกทั้ง

ด้วยความที่ Zero สามารถสอนตัวเองได้ ทำให้นักวิจัยสามารถนำไปต่อยอดเพื่อพัฒนาอัลกอริทึมรูปแบบใหม่ ที่ไม่จำเป็นต้องป้อนข้อมูลเป็นจำนวนมากๆ เพื่อสอน AI นั่นเอง

ทั้งนี้ ทาง Demis Hassabis ผู้ร่วมก่อตั้ง DeepMind เปิดเผยว่า เนื่องจาก Zero ไม่ได้ถูกโปรแกรมมาเพื่อให้เล่นโกะโดยเฉพาะ ทางผู้พัฒนาจึงสามารถโปรแกรม Zero ให้เรียนรู้ศาสตร์ด้านอื่นได้ เช่น ค้นคว้าเรื่องยา หรือฟิสิกส์อนุภาพ เป็นต้น ซึ่งก็น่าติดตามกันต่อไปว่า Zero จะเข้ามามีบทบาทในด้านใด และจะถูกนำไปใช้ในเรื่องไหนบ้างครับ


บทความโดย เทคโมบล็อก
บันทึกหมาก AlphaGo Games




Huawei Mate 10 series สมาร์ทโฟนใช้ชิปเซ็ท A.I.


Huawei Mate 10 series ก้าวสู่สมาร์ทโฟน A.I.


เป็นครั้งแรกของความร่วมมือกับไลก้า(ผู้ผลิตเลนส์กล้อง) ที่ Huawei จับคุณสมบัติ อันโดดเด่นเรื่องเลนส์มาใส่ใน smartphone ได้รับการตอบรับระดับดีมาก

Huawei ได้กลายเป็นก้างขวางคอชิ้นใหญ่ก้าวขึ้นเป็นคู่แข่งสำคัญของ Apple และ Samsung ขึ้นมาในทันที มาครั้งนี้หัวเว่ยเลือกเทคโนโยลี AI ใส่ความเป็นอัจริยะบนสมาร์ทโฟนหัวเว่ย มาเป็นจุดขาย



ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร หัวเว่ย คอนซูมเมอร์ บิสสิเนส กรุ๊ป ริชาร์ด หยู  กล่าวว่า...

"เรากำลังเข้าสู่ยุคแห่งโลกอัจฉริยะ AI จึงไม่ได้เป็นเพียงแนวคิดเสมือนจริง แต่เป็นสิ่งที่สอดประสานไปกับชีวิตประจำวันของเรา  
AI สามารถยกระดับประสบการณ์ของผู้ใช้งาน มอบบริการที่มีคุณค่า และเสริมสร้างประสิทธิภาพการทำงานของผลิตภัณฑ์ Huawei Mate 10 Series คือผลิตภัณฑ์สมาร์ทโฟนแรก ๆ ที่มีการใช้หน่วยประมวลผลโครงข่ายประสาท หรือ Neural Network Processing Unit (NPU) ซึ่งเป็นการเปิดประตูสู่ยุคแห่งสมาร์ทโฟนอัจฉริยะ"

ชาญวิทย์ เขียวนาวาวงศ์ษา ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายการตลาด หัวเว่ย คอนซูเมอร์ บิสสิเนส กรุ๊ป (ประเทศไทย) กล่าวว่า เรียกได้ว่าหัวเว่ย รุ่นใหม่ตระกูลเมท 'Mate 10' และ 'Mate 10 Pro' เป็นสมาร์ทโฟนที่ดีที่สุดของหัวเว่ย

Huawei Mate 10 series สมาร์ทโฟนสมานเทคโนโลยี A.I.
ถือเป็นผู้นำในหลายด้าน เริ่มจาก 


  • เป็นมือถือสมาร์ทโฟนรุ่นแรกของโลกที่มีชิปเซ็ท AI ฝังอยู่ 
  • เป็นสมาร์ทโฟนที่มีประสิทธิภาพสูงที่สุดในโลกด้านการถ่ายภาพ เมื่อมองในด้านรูรับแสงของเลนส์ 
  • เป็นสมาร์ทโฟนรุ่นแรกของโลกที่มี 2 ซิม และสแตนด์บาย 4G ได้ทั้ง2ซิม 
  • เป็นสมาร์ทโฟนรุ่นแรกของโลกที่ให้แบตเตอรี่สูงถึง 4,000 mAh


คุณสมบัติเหล่านี้นับเป็นคู่แข่งได้ดีกับ Samsung และ Apple ที่เปิดตัวทำตลาดในเวลาใกล้เคียงกัน ผู้บริหารหัวเว่ยกล่าวว่าแบรนด์ที่ตอบโจทย์ผู้บริโภคได้ดี ก็จะเป็นผู้นำในตลาด โดยหัวเว่ยมองการใช้งานของผู้บริโภคเป็นหลัก เมื่อผู้บริโภคชอบการถ่ายภาพหัวเว่ยก็นำ AI เทคโนโลยีมาใส่สำหรับการถ่ายภาพ เพื่อให้ประสบการณ์ในการถ่ายภาพได้ดียิ่งขี้น เมื่อผู้บริโภคมักจะมีปัญหากับแบตเตอรี่ หัวเว่ยก็เลือกใช้แบตเตอรี่ที่สูงขึ้น ประสานการทำงานกับ AI เพื่อให้เครื่องกินแบตน้อยที่สุด เพื่อให้การใช้งานแบตเตอรี่อยู่ได้นาน 1 ถึง 2 วัน

ชนะใจผู้บริโภค

"พูดแบบภาษาเข้าใจง่าย การใส่ AI (ระบบประมวลผลอัจฉริยะ)ไว้ใน Mate 10 และ Mate 10 Pro จะทำให้สมาร์ทโฟนมีสมองที่ฉลาดมากขึ้น สามารถเรียนรู้สิ่งต่างๆได้เร็วขึ้น โดยสมาร์ทโฟน ส่วนใหญ่ต้องดึงข้อมูลจากบนคลาวด์ที่มีฐานข้อมูลค่อนข้างมาก ขณะที่ หัวเว่ย ตระกูล Mate เลือกใช้ชิปเซ็ท KIRIN 970 ที่ใส่ไว้มีการเรียนรู้ในระดับหนึ่งแล้ว ทำให้การประมวลผลต่างๆเร็วขึ้น เหมือนกับการมีพื้นฐานความรู้มาในระดับหนึ่ง นับเป็น AI ที่อยู่บน shipset ตัวแรกของโลก"



บทความ  https://mgronline.com/cyberbiz/detail/9600000106663

วันพฤหัสบดีที่ 19 ตุลาคม พ.ศ. 2560

Huawei ผสานพลังระบบประมวลผล A.I. ลงในมือถือ Mate 10



HUAWEI Mate 10 และ 10 Pro ก้าวข้ามเทคโนโลยีสู่ยุค Intelligent Machine ระบบประมวลผล AI เป็นครั้งแรก


นวัตกรรมแตกต่างมักเริ่มต้นด้วยความฝันอันชัดเจน ในงาน IFA Berlin ที่ผ่านมา หัวเว่ย คอนซูมเมอร์ บิสสิเนส กรุ๊ป ได้แนะนำให้โลกได้รู้จัก Kirin 970 ชิพเซตสมาร์ทโฟนตัวแรกของโลกที่ฝังเทคโนโลยี AI

ที่มิวนิคประเทศเยอรมันนี หัวเว่ยจึงเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ล่าสุด HUAWEI Mate 10 Series ที่จะเปิดประตูสู่โลกใหม่ของสมาร์ทโฟนที่มาพร้อมเทคโนโลยี AI   HUAWEI Mate 10, HUAWEI Mate 10 Pro และ Porsche Design HUAWEI Mate 10 คืออุปกรณ์สื่อสาร AI สุดล้ำที่ผสานนวัตกรรมฮาร์ดแวร์       ชิพเซ็ต Kirin 970 และ EMUI 8.0 พร้อมกับการสานต่อจุดแข็งด้านประสิทธิภาพการทำงานอันเหนือชั้น แบตเตอรี่ที่ใช้งานได้ยาวนาน และเทคโนโลยีกล้องถ่ายภาพคู่ใหม่ล่าสุดจาก Leica

ริชาร์ด หยู ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร หัวเว่ย คอนซูมเมอร์ บิสสิเนส กรุ๊ป กล่าวว่า

“เรากำลังเข้าสู่ยุคแห่งโลกอัจฉริยะ AI จึงไม่ได้เป็นเพียงแนวคิดเสมือนจริง แต่เป็นสิ่งที่สอดประสานไปกับชีวิตประจำวันของเรา    AI สามารถยกระดับประสบการณ์ผู้ใช้ มอบบริการที่มีคุณค่า และเสริมสร้างประสิทธิภาพการทำงานของผลิตภัณฑ์  HUAWEI Mate 10 Series คือผลิตภัณฑ์แรก ๆ ทีมีการใช้หน่วยประมวลผลโครงข่ายประสาท หรือ Neural Network Processing Unit (NPU) ซึ่งเป็นการเปิดประตูสู่ยุคแห่งสมาร์ทโฟนอัจฉริยะ”


จุดเด่นของ HUAWEI Mate 10 Series ประกอบด้วย


  • ครั้งแรกของโลกกับชิพเซ็ต Kirin 970 ตัวประมวลผลสมาร์ทโฟนที่ฝังเทคโนโลยี AI พร้อมหน่วยประมวลผลโครงข่ายประสาท หรือ Neural Network Processing Unit (NPU)
  • กล้องคู่ใหม่จาก Leica พร้อมเลนส์ SUMMILUX-H พร้อมรูรับแสงคู่ขนาด F/1.6และระบบถ่ายภาพอัจฉริยะ พร้อมระบบถ่ายภาพอัจฉริยะ Real-Time Scene ที่อาศัยเทคโนโลยี AI มาวิเคราะห์วัตถุเพื่อการตั้งค่าที่ดีที่สุดสำหรับการถ่ายวัตถุนั้นๆ
  • แบตเตอรี่ขนาด 4,000 พร้อมระบบการจัดการแบตเตอรี่ที่ควบคุมด้วย AI และเทคโนโลยี SuperCharge ที่ได้รับรองด้านความปลอดภัยจาก TÜV
  • ตัวเครื่องกระจก 3 มิติ พร้อมหน้าจอ HUAWEI FullViewDisplay เพื่อมุมมองที่เต็มตา และเทคโนโลยี HDR10 ให้สีสันที่สดใส สมจริงยิ่งกว่าเดิม
  • ประสบการณ์ใช้งาน EMUI 8.0 ที่ใหม่หมดจด ใช้งานง่าย บนระบบปฏิบัติการ Andriod 0reo


สถาปัตยกรรมโมบายคอมพิวเตอร์บน AI เพื่อประสบการณ์ใช้งานสุดชาญฉลาด


HUAWEI Mate 10 และ HUAWEI Mate 10 Pro คือผลิตภัณฑ์รุ่นแรกของหัวเว่ยที่ใช้ชิพประมวลผล Kirin 970 ใหม่ ที่เสริมประสิทธิภาพด้วย AI เพื่อให้ประสบการณ์สื่อสารที่รวดเร็วถึงใจ และตอบสนองความต้องการเฉพาะของผู้ใช้แต่ละคนยิ่งขึ้น Kirin 970 ผลิตขึ้นด้วยขั้นตอน TSMC ขนาด 10 นาโนเมตรอันล้ำสมัย และใช้หน่วยประมวลผลกลาง ARM Cortex แบบ 8 แกน หน่วยประมวลผลกราฟิก Mali G72 แบบ 12 แกน ที่นำมาใช้เป็นครั้งแรก รวมทั้งหน่วยประมวลผลโครงข่ายประสาท หรือ Neural Network Processing Unit (NPU) ซึ่งออกแบบขึ้นสำหรับอุปกรณ์สื่อสารโดยเฉพาะ  Kirin 970 ยังมีหน่วยประมวลผลสัญญาณภาพแบบคู่ (Dual ISP) เพื่อประสิทธิภาพในการถ่ายภาพอันชาญฉลาด

ด้วยหน่วยประมวลผล NPU ผสานกับนวัตกรรมสถาปัตยกรรมโมบายคอมพิวเตอร์ HiAI ส่งผลให้ Kirin 970 มีประสิทธิภาพการทำงานสูงขึ้น 25 เท่า และประหยัดพลังงานเพิ่มขึ้น 50 เท่า สำหรับการทำงานส่วนที่เกี่ยวข้องกับ AI เมื่อเปรียบเทียบกับ Cortex-A73 จำนวน 4 ตัว  HUAWEI Mate 10 Series ยังเป็นสมาร์ทโฟนที่เร็วที่สุดในโลกซึ่งรองรับเครือข่ายการสื่อสาร LTE และการดาวน์โหลดข้อมูลความเร็วสูง  รวมทั้งรองรับซิมการ์ดคู่ 4G และบริการ VoLTE พร้อมกันสองเครือข่ายได้

ด้วยการผสานระบบอัจฉริยะทั้งแบบ individual intelligence และ collective intelligence ไว้ในตัวเครื่อง HUAWEI Mate Series สามารถให้การตอบสนองการใช้งานได้ทันทีแบบเรียลไทม์ ไม่ว่าจะเป็นการถ่ายภาพในโหมด Real-Time Scene และโหมดตรวจจับวัตถุ รวมทั้งระบบการแปลภาษา Kirin 970 ยังเป็นแพล็ตฟอร์มโมบายคอมพิวเตอร์ AI แบบเปิด จึงรองรับแอพพลิเคชั่นด้าน AI ใหม่ ๆ จากผู้พัฒนาต่าง ๆ ซึ่งช่วยขยายขีดความสามารถในการประมวลผลของหัวเว่ยตลอดเวลูเชนของผลิตภัณฑ์

บทความ appdisqus.com

วันอังคารที่ 10 ตุลาคม พ.ศ. 2560

ชาวอเมริกันทั่วไปกังวลกับการมาถึงของ (A.I.) ที่จะเข้าแทนมนุษย์มากขึ้นเรื่อยๆ



ชาวอเมริกันทั่วไปกังวลกับการมาถึงของระบบอัตโนมัติปัญญาประดิษฐ์ (A.I.) ที่เข้ามามีส่วนตัดสินใจแทนมนุษย์มากขึ้นเรื่อยๆ


ในขณะที่บรรดานักพัฒนาจาก Silicon Vally กำลังยินดีฉลองกับความสำเร็จในการพัฒนาปัญญาประดิษฐ์(A.I.) และหุ่นยนต์ ว่าสามารถนำมาช่วยเพิ่มคุณภาพชีวิตให้กับมนุษย์ได้นั้น อีกด้านหนึ่งของประชากรในประเทศเดียวกันอาจจะไม่ได้กำลังยินดีไปด้วยเลยก็เป็นได้ เมื่อมีการวิจัยเปิดเผยว่า ชาวอเมริกันกว่า 70% มีความกังวลถึงสิ่งที่จะตามมาจากการพัฒนาของปัญญาประดิษฐ์ โลกในยุคแมชชีนกำลังครองเมือง และเข้าแทนที่การทำงานในด้านต่าง ๆ ที่มนุษย์เคยทำ

ผู้ที่ทำการสำรวจอย่างแอรอน สมิธ (Aaron Smith) จาก Pew Research ได้ทำการสอบถามความเห็นจากชาวอเมริกันกว่า 4,000 คน โดยระบุว่าชาวอเมริกันทั่วไปนั้นต่างกังวลกับการมาถึงของระบบอัตโนมัติ (A.I.) ที่จะเข้ามาตัดสินใจแทนมนุษย์มากขึ้นเรื่อย ๆ และพวกเขาไม่ได้ตื่นเต้นเกี่ยวกับการมาถึงของหุ่นยนต์เหมือนที่บริษัทเทคโนโลยีมากมายรู้สึกด้วย

โดยทาง Pew Research ได้ประเมินทัศนคติของชาวอเมริกันต่อเทคโนโลยีอัจฉริยะใน 4 สถานการณ์ ได้แก่

  • การพัฒนารถยนต์อัตโนมัติไร้คนขับ (Driverless Car) หรือ (Self-driving Car)
  • การนำเครื่องจักรเข้ามาแทนที่การจ้างงานมนุษย์
  • การใช้หุ่นยนต์ดูแล (Robot Carer) 
  • และสุดท้ายการใช้โปรแกรมคอมพิวเตอร์ในการประเมินและคัดเลือกคนเข้าทำงานโดยไม่ต้องมีมนุษย์ตรวจสอบคัดกรองอีกที


ผลสำรวจเผยออกมา คือ

  • 72 % ของการสำรวจพบว่าชาวอเมริกันกังวลเกี่ยวกับอนาคต หากรู้ว่าหุ่นยนต์และคอมพิวเตอร์สามารถทำงานที่เคยเป็นงานของมนุษย์ได้ 
  • 76 % เกรงว่า การนำระบบอัตโนมัติเข้ามาจะทำให้ช่องว่างในสังคมระหว่างคนจนและคนรวยกว้างมากยิ่งขึ้น 
  • และมีถึง 75 % มองว่า เศรษฐกิจหลังจากมีระบบอัตโนมัติเข้ามานั้นจะไม่สามารถสร้างงานใหม่ ๆ หรืองานที่มีรายได้ดี ๆ สำหรับคนที่ถูกเลิกจ้างเพราะมีหุ่นยนต์เข้ามาแทนที่ได้แต่อย่างใด


อย่างไรก็ดี ในเรื่องของการใช้ระบอบอัตโนมัติเข้ามาช่วยในการตัดสินใจและประเมินว่าจะว่าจ้างบุคลากรดีหรือไม่นั้น แม้จะมีความไม่เห็นด้วยเป็นอย่างมาก แต่ปัจจุบันมีการใช้งานเทคโนโลยีดังกล่าวแล้วในธุรกิจบางประเภท เช่น การประเมินยอดสินเชื่อที่จะให้กู้, การอนุญาตให้พ้นโทษได้ก่อนกำหนด ซึ่งฝ่ายผู้สนับสนุนมองว่า ปัญญาประดิษฐ์(A.I.) นั้นช่วยให้การตัดสินใจโปร่งใสและขจัดปัญหาเรื่องความลำเอียงได้ด้วย

ส่วนกรณีของการคัดเลือกบุคลากรโดยโปรแกรมคอมพิวเตอร์นั้น ความเห็นแย้งจากผู้ตอบแบบสอบถามก็เป็นเรื่องน่าคิด เพราะมุมมองที่เห็นแย้งคือคอมพิวเตอร์ไม่สามารถวัดความฉลาดทางอารมณ์ได้(E.Q.) รวมถึงลักษณะทางกายภาพอื่น ๆ ที่คอมพิวเตอร์ไม่สามารถประเมินได้ ในขณะที่หากเป็นมนุษย์ด้วยกันเองจะอาจประเมินได้อย่างถูกต้องมากกว่า

สำหรับความกังวลเหล่านี้อาจไม่สามารถชี้ได้ว่าฝ่ายใดเป็นฝ่ายถูก หรือฝ่ายใดเป็นฝ่ายผิด แต่สิ่งที่เร่งด่วนกว่าอาจเป็นการหาที่ยืนให้กับมนุษย์ให้ได้รับสิทธิในการยืนอย่างเท่าเทียมกัน ไม่ว่าจะอยู่ในฐานะของมนุษย์ที่พัฒนาเทคโนโลยี หรือและมนุษย์ที่ถูก Disrupt โดยเทคโนโลยีก็ตาม


อ้างอิง 

  • pewinternet.org/2017/10/04/automation-in-everyday-life/
  • mgronline.com/cyberbiz/detail/9600000103283